เจอร์เกน คล็อปป์ ผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูลชาวเยอรมัน มีชื่อเต็มว่า เจอร์เกน นอร์แบร์ท คล็อปป์ เขาเกิดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 1967 ที่เมืองสตุ๊ตการ์ท ประเทศเยอรมัน เขาเป็นเด็กที่มีสายเลือดนักฟุตบอล เนื่องจากพ่อของเขาเป็นนักอดีตนักฟุตบอลสมัครเล่น ในวัยเด็กของเขาก็เช่นเดียวกับเด็กผู้ชายทั่วไปที่เติบโตมากับการเล่นฟุตบอล โดยในวัยเด็กเขามีความฝันที่อยากจะเป็นหมอ แต่ในตอนหลังเขาก็ล้มเลิกความฝันนั้นไป เพราะคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ และพ่อของเขาก็เริ่มสอนให้เขาได้รู้จักการเป็นนักฟุตบอลอย่างแท้จริง
ในปี 1975 เมื่อ คล็อปป์ อายุได้ 8 ขวบ พ่อของเขาพาไปเข้ารับการฝึกฝนเป็นนักฟุตบอลในทีมเอสเฟา กลัทเทิน และในปี 1983 เขาก็ย้ายไปเล่นในทีมเยาวชนของทูสแอร์เกินซิงเงิน ซึ่งเป็นทีมฟุตบอลในท้องถิ่นโดยในช่วงแรกเขาไม่ได้มีความสนใจในการเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังมากนัก จนมาในวันหนึ่งที่เขาก็ได้รับแรงบันดาลใจคนคนหนึ่งที่ทำให้เขามีจุดหมายของตัวเองว่าในอนาคตเขาจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพและผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ให้ได้ ในเวลานั้นที่เขาต้องทำการฝึกฝนทักษะการเป็นนักฟุตบอลอาชีพไปนั้น คล็อปป์ ก็ต้องทำงานพาร์ทไทม์ไปด้วย โดยในเวลานั้นฟอร์มการเล่นของเขาไม่ได้ดีและโดดเด่นมากนัก
ในปี 1988 คล็อปป์ ในวัย 21 ปี ได้เข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ทำให้เขาเริ่มได้รับบทบาทการเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลเป็นครั้งแรกด้วยการคุมทีมแฟรงค์เฟิร์ตรุ่นเล็ก
ในปี 1990 คล็อปป์ ได้เซ็นสัญญาการเป็นนักฟุตบอลอาชีพเป็นฉบับแรกในชีวิตของเขากับสโมสรไมนทซ์ 05 โดยในเวลานั้นเขาลงสนามในตำแหน่งกองหน้าให้กับทีม และด้วยการมีอุปนิสัยที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจ ทำให้คล็อปป์ กลายเป็นนักเตะขวัญใจแฟนบอลได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ในปี 1995 เขาถูกปรับเปลี่ยนตำแหน่งการเล่นโดยเปลี่ยนมาเล่นในตำแหน่งกองหลัง และในปีนั้น คล็อปป์ ก็ได้จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา
ในปี 2001 คล็อปป์ ในวัย 34 ปี ตัดสินใจอำลาการเป็นนักฟุตบอลอาชีพอย่างเป็นทางการ โดยหยุดสถิติการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของเขาอยู่ใน 338 นัด และทำไป 56 ประตู และเป็นดาวซัลโวสูงสุดของสโมสร และหลังจากนั้นเขาก็ได้รับบทบาทใหม่ในทันทีด้วยการเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมของ ไมนทซ์ 05 ทีมต้นสังกัดเก่าของเขา ซึ่งในช่วงแรกของเขาเข้ามารับตำแหน่ง คล็อปป์ได้ทำการปรับเปลี่ยนรูปแบบ และวางรากฐานของทีมใหม่เกือบทั้งหมด โดยในตอนนั้นมีเป้าหมายในการพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นในบุนเดสลีกา เยอรมันให้ได้
และเขาก็ใช้เวลาเพียง 3 ปีในการปรับเปลี่ยนทีม ในปี 2004 เขาพาทีมขึ้นมาเล่นในบุนเดสลีกา ซึ่งเป็นลีกสูงสุดของเยอรมันได้สำเร็จ หลังจากที่รอมานานถึง 41 ปี และหลังจากนั้น คล็อปป์ ก็คุมทีมเล่นอยู่ในบุนเดสลีกา ได้ถึง 7 ฤดูกาล ก่อนที่จะตกชั้นลงไปเล่นในลีกา 2 อีกครั้ง
ในปี 2008 คล็อปป์ ได้รับการทาบทามจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่ต้องการเขาเข้าไปรับหน้าที่ผู้จัดการทีมคนใหม่ ซึ่งในเวลานั้นสร้างความประหลาดใจให้กับวงการลูกหนังเป็นอย่างมาก เนื่องจากคล็อปป์ในเวลานั้นยังไม่มีชื่อเสียงมากนัก และนับว่ายังเป็นผู้จัดการทีมที่ยังมีประสบการณ์การคุมทีมน้อยมาก
ในเดือนพฤษภาคม 2008 คล็อปป์ ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตด้วยการรับงานคุมทีมให้กับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยระยะเวลา 2 ปี โดยในฤดูกาลแรกของการคุมทีม คล็อปป์ เริ่มปรับรูปแบบการเล่นของทีมให้มาเล่นตามแบบของเขา และนำเอานักเตะหนุ่มรุ่นใหม่มาใช้งานมากขึ้น และในที่สุดในฤดูกาลนั้น โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ก็จบอยู่ที่อันดับ 6 ของตาราง นอกจากนี้ยังมีเกมที่เรียกว่าสร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบอลเป็นอย่างมากเมื่อโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ สามารถเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค มาได้ในเกมเดเอฟเบ ซูเปอร์คัพ
ในฤดูกาล 2009-2010 คล็อปป์ ยังพาทีมสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และจบฤดูกาลด้วยการคว้าอันดับ 5 มาครอง
ฤดูกาล 2011-2012 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ภายใต้การคุมทีมของเขา ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง ด้วยการเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้สำเร็จ นอกจากนี้ คล็อปป์ ยังพาทีมคว้าแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ด้วยการเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค มาในนัดชิงชนะเลิศอีกด้วย
ฤดูกาล2012-2013 คล็อปป์ ยังคงพาทีมสร้างผลงานได้ดี แต่ในฤดูกาลนี้เขาไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ได้ โดยในลีกจบอยู่ที่อันดับ 2 ของตาราง
ฤดูกาล 2013-2014 คล็อปป์ ตัดสินใจต่อสัญญาคุมทีมต่อ และในฤดูกาลนี้เขาพาทีมจบอยู่ที่อันดับ 2 ของตารางเช่นเดิม
ฤดูกาล 2014-2015 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ต้องประสบปัญหานักเตะได้รับบาดเจ็บหลายราย ทำให้ผลงานของทีมตกต่ำลง จนมาถึงในช่วงกลางฤดูกาลผลงานของทีมเริ่มที่จะดีขึ้น และรอดพ้นจากการตกชั้นมาได้ และด้วยผลงานอันย่ำแย่ของทีม ในเดือน เมษายน 2015 คล็อปป์ ออกมาประกาศลาออกจากทีมเพื่อแสดงความรับผิดชอบ โดยเขาอยู่คุมทีมไปจนจบฤดูกาล และพาทีมจบอยู่ที่อันดับ 7 ของตาราง
ซึ่งภายหลังจากที่เขาประกาศลาออกจากทีม ก็ได้มีทีมฟุตบอลในยุโรปต่างต้องการตัวเขาไปคุมทีมมากมาย โดยเฉพาะ ลิเวอร์พูล
ในเดือนตุลาคม 2015 คล็อปป์ เซ็นสัญญาคุมทีมให้กับลิเวอร์พูล อย่างเป็นทางการ ลิเวอร์พูลภายใต้การคุมทีมของเขา ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบต่างๆ มากมาย ทั้งในรูปแบบการเล่น การฝึกซ้อม และระเบียบวินัย
ในฤดูกาล 2016-2017 คล็อปป์ ปล่อยตัวนักเตะที่ไม่อยู่ในแผนการทำทีมของเขาออกจากทีมอย่างมากมาย พร้อมกับการคว้าตัวนักเตะใหม่เข้ามาในทีมอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น มาเน่ ,มาติป,คาริอุส และไวจ์นัลดุม และหลังจากนั้นลิเวอร์พูลก็เริ่มทำผลงานได้ดีขึ้น และจบฤดูกาลด้วยอันดับ 4 ของตารางคะแนน
ฤดูกาล2017-2018 เขาได้ทุ่มเงินดึงตัว โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดาวเตะที่กำลังโดดเด่นในเวลานั้น และยังมี โรเบิร์ตสัน และแชมเบอร์เลน อีกด้วย นอกจากนี้ยังดึงตัว เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เข้ามาอีกด้วย โดยในฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลสามารถเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่ก็จบอยู่ที่รองแชมป์ และในพรีเมียร์ลีกจบอยู่ที่อันดับ 4 ของตาราง
ฤดูกาล 2018-2019 เขายังคงดึงตัวนักเตะเข้ามาร่วมทีมอย่างหนาแน่น ทั้ง อลีสซง เบ็คเกอร์,ฟาบินโญ่,นาบี เกอิต้า โดยในฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลมีผลงานที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก แต่ในช่วงท้ายฤดูกาล ลิเวอร์พูล พลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อมีแต้มน้อยว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้เพียงแต้มเดียวเท่านั้น แต่พวกเขาก็ยังสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้สำเร็จ
ฤดูกาล2019-2020 คล็อปป์พาทีมสร้างผลงานได้อย่างร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง และสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้สำเร็จ และเป็นการคว้าแชมป์ในรายการนี้ในรอบ 30 ปีของสโมสรอีกด้วย
ฤดูกาล 2020-2021 ลิเวอร์พูลพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกโดยมีคะแนนน้อยว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้เพียงแต้มเดียวอีกครั้ง
ฤดูกาล 2021-2022 เขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์คาราบาวคัพ มาได้สำเร็จ และในเวลานี้กำลังลุ้นแชมป์อีก 3 รายการด้วยกัน